บทที่ 1
บทนำ
ที่มาและความสำคัญของโครงงาน
โครงงานการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน เรื่องวัฒนธรรมประเพณีของประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว จัดทำขึ้นเพื่อศึกษา และมีความรู้ในเรื่องวัฒนธรรมประเทศสมาชิกในกลุ่มประชาคมอาเซียน คณะผู้จัดทำได้เห็นความสำคัญในเรื่องศาสนาของประเทศลาวเพราะมีความเหมือนกับศาสนาและวัฒนธรรมของประเทศไทยมาก ซึ่งจะเห็นได้ว่า ศาสนาของประเทศลาวนั้น รัฐบาลให้สิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนาโดยส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาทซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติแล้ว ยังมีชนกลุ่มน้อยที่นับถือผีบรรพบุรุษในแถบภูเขาสูง และบางส่วนยังนับถือศาสนาคริสต์และอิสลามอยู่บ้าง ประชาชนลาวให้ความสำคัญในการนับถือศาสนามาก พระสงฆ์ลาวถือธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด มีการเผยแพร่พระธรรม และยังทำหน้าที่เป็นครู แพทย์แผนโบราณ โดยมีอุบาสกอุบาสิกาเป็นผู้ถวายปัจจัย พระสงฆ์ลาวจะได้รับการเชิดชูมาก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวนับว่าเป็นประเทศที่มีความใกล้เคียงกับประเทศไทยมากทั้งในด้านสังคมและวัฒนธรรม นับว่าเป็นประเทศเพื่อนมากที่สามารถใช้ภาษาไทยสื่อสารด้วยความเข้าใจโดยไม่ต้องอาศัยล่าม
แหล่งที่มา…………. http://www.smeasean.com
วัตถุประสงค์ของการศึกษา
1. เพื่อศึกษาวัฒนธรรมและประเพณีของประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
2. เพื่อได้ความรู้จากการศึกษา มองเห็นความสำคัญของศาสนาประจำชาติของประเทศสมาชิกในกลุ่มอาเซียนเพื่อการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียน
3. เพื่อนำความรู้ มาพัฒนาและบูรณาการในด้านความการศึกษา และมาประยุกตร์ใช้ในชีวิตประจำวัน
ขอบเขตการศึกษา
โครงงาน เรื่องการศึกษาวัฒนธรรมประเพณีของประเทศสาธารณรัฐประชาธิไตยประชาชนลาวเป็นส่วนหนึ่งของรายวิชากิจกรรมศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง โดยคณะผู้จัดทำได้ทำการศึกษาค้นคว้าจากเครือข่ายอินเตอร์เน็ตในชั่วโมงของวิชากิจกรรมศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง ณ ห้องปฏิบัติการคอมฯ 1 จากข้อมูลออนไลน์ต่าง ๆ และได้ทำการรวบรวมเนื้อหาที่สำคัญมาจัดเรียงเป็นรูปเล่ม ซึ่งมีเนื้อเรื่องที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์มาก โดยใช้ระยะเวลาในการศึกษาค้นคว้าประมาณ 4 สัปดาห์
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1. ได้รับความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมประเพณีของประเทศในกลุ่มสมาชิกอาเซียน
2. ได้รับประสบการณ์ในการทำงานเป็นหมู่คณะ และนำความรู้มาบูรณาการกับการศึกษาในปัจจุบันและเป็นแนวทางในการศึกษาในขั้นสูงต่อไป
วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
บทที่ 2
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
ในภาษาอังกฤษ คำว่าลาว ที่หมายถึงประเทศสะกดว่า “Laos” และ ลาวที่หมายถึงคนลาว และภาษาลาวใช้ “Lao” ในบางครั้งจะเห็นมีการใช้คำว่า “Laotian” แทนเนื่องจากป้องกันการสับสนกับเชื้อชาติลาว ที่สะกดว่า Ethnic Lao ประเทศลาว หรือชื่ออย่างเป็นทางการ คือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (Lao People’s Democratic Republice)
ที่ตั้งและอาณาเขต
ประเทศลาวเป็นประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งตั้งอยู่บนใจกลางของคาบสมุทรอินโดจีนระหว่างละติจูดที่ 14 – 23 องศาเหนือ ลองติจูดที่ 100 – 108 องศาตะวันออก มีพื้นที่โดยรวมประมาณ 236,800 ตารางกิโลเมตร แบ่งเป็นภาคพื้นดิน 230,800 ตารางกิโลเมตร ภาคพื้นน้ำ 6,000 km² โดยลาวเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล เนื่องด้วยตลอดแนวชายแดนของประเทศลาว ซึ่งมีความยาวรวม 5,083 กิโลเมตร ล้อมรอบด้วยชายแดนของประเทศเพื่อนบ้าน 5 ประเทศ เรียงตามเข็มนาฬิกา ดังนี้
ทิศเหนือ ติดกับประเทศจีน (1 กิโลเมตร)
ทิศตะวันออก ติดกับประเทศเวียดนาม (2,130 กิโลเมตร)
ทิศใต้ ติดกับประเทศไทย (1,754 กิโลเมตร) และประเทศกัมพูชา (541 กิโลเมตร)
ทิศตะวันตก ติดกับประเทศไทย (1,754 กิโลเมตร) และประเทศพม่า (235 กิโลเมตร)
ความยาวพื้นที่ประเทศลาวตั้งแต่เหนือจรดใต้ยาวประมาณ 1,700 กว่ากิโลเมตร ส่วนที่กว้างที่สุดกว้าง 500 กิโลเมตร และที่แคบที่สุด 140 กิโลเมตร เนื้อที่ทั้งหมด 236,800 ตารางกิโลเมตร
ลักษณะภูมิประเทศ
ภูมิประเทศของลาวอาจแบบได้เป็น 3 เขต คือ
1. เขตภูเขาสูง เป็นพื้นที่ที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลโดยเฉลี่ย 1,500 เมตรขึ้นไป พื้นที่นี้อยู่ในเขตภาคเหนือของประเทศ
2. เขตที่ราบสูง คือพื้นที่ซึ่งสูงกว่าระดับน้ำทะเลเฉลี่ย 1,000 เมตร ปรากฏตั้งแต่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของที่ราบสูงเมืองพวนไปจนถึงชายแดนกัมพูชา เขตที่ราบสูงนี้มีที่ราบสูงขนาดใหญ่อยู่ 3 แห่ง ได้แก่ ที่ราบสูงเมืองพวน (แขวงเชียงขวาง), ที่ราบสูงนากาย (แขวงคำม่วน) และที่ราบสูงบริเวณ (ภาคใต้)
3. เขตที่ราบลุ่ม เป็นเขตที่ราบตามแนวฝั่งแม่น้ำโขงและแม่น้ำต่างๆ เป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์มากที่สุดในเขตพื้นที่ทั้ง 3 เขต นับเป็นพื้นที่อู่ข้าวอู่น้ำที่สำคัญของประเทศ แนวที่ราบลุ่มเหล่านี้เริ่มปรากฏตั้งแต่บริเวณตอนใต้ของแม่น้ำงึม เรียกว่า ที่ราบลุ่มเวียงจันทน์ ผ่านที่ราบลุ่มสะหวันนะเขด ซึ่งอยู่ตอนใต้เซบั้งไฟและเซบั้งเหียง และที่ราบจำปาสักทางภาคใต้ของลาว ซึ่งปรากฏตามแนวแม่น้ำโขงเรื่อยไปจนจดชายแดนประเทศกัมพูชา
ทั้งนี้ เมื่อนำเอาพื้นที่ของเขตภูเขาสูงและเขตที่ราบสูงมารวมกันแล้ว จะมากถึง 3 ใน 4 ของพื้นที่ประเทศลาวทั้งหมด โดยจุดที่สูงที่สุดของประเทศลาวอยู่ที่ภูเบี้ย ในแขวงเชียงขวาง วัดความสูงได้ 2,817 เมตร (9,242 ฟุต)
ประเทศลาวมีแม่น้ำสายสำคัญอยู่หลายสาย โดยแม่น้ำซึ่งเป็นสายหัวใจหลักของประเทศคือแม่น้ำโขง ซึ่งไหลผ่านประเทศลาวเป็นระยะทาง 1,835 กิโลเมตร แม่น้ำสายนี้เป็นแม่น้ำสำคัญทั้งในด้านเกษตรกรรม การประมง การผลิตพลังงานไฟฟ้า การคมนาคมจากลาวเหนือไปจนถึงลาวใต้ และการใช้เป็นพรมแดนธรรมชาติระหว่างประเทศลาวกับประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากนี้ แม่น้ำสายสำคัญของลาวแห่งอื่นๆ ยังได้แก่
แม่น้ำอู (พงสาลี – หลวงพระบาง) ยาว 448 กิโลเมตร
แม่น้ำงึม (เชียงขวาง-เวียงจันทน์) ยาว 353 กิโลเมตร
แม่น้ำเซบั้งเหียง (สะหวันนะเขด) ยาว 338 กิโลเมตร
แม่น้ำทา (หลวงน้ำทา-บ่อแก้ว) ยาว523กิโลเมตร
แม่น้ำเซกอง (สาละวัน-เซกอง-อัดตะบือ) ยาว 320 กิโลเมตร
แม่น้ำเซบั้งไฟ (คำม่วน-สะหวันนะเขด) ยาว 239 กิโลเมตร
แม่น้ำแบ่ง (อุดมไซ) ยาว 215 กิโลเมตร
แม่น้ำเซโดน (สาละวัน-จำปาสัก) ยาว 192 กิโลเมตร
แม่น้ำเซละนอง (สะหวันนะเขด) ยาว 115 กิโลเมตร
แม่น้ำกะดิ่ง (บอลิคำไซ) ยาว 103 กิโลเมตร
แม่น้ำคาน (หัวพัน-หลวงพระบาง) ยาว 90 กิโลเมตร
ลักษณะภูมิอากาศที่ลาว
สปป. ลาวอยู่ในภูมิอากาศเขตร้อน มีลมมรสุมแต่ไม่มีลมพายุ สำหรับเขตภูเขาภาคเหนือ และ เขตเทือกเขา อากาศมีลักษณะกึ่งร้อนกึ่งหนาว อุณหภูมิสะสมเฉลี่ยประจำปีสูงถึง 15-30 องศาเซลเซียส และความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างกลางวันและกลางคืนมีประมาณ 10 องศาเซลเซียส จำนวนชั่วโมงที่มีแสงแดดต่อปีประมาณ 2,300 – 2,400 ชั่วโมง (ประมาณ 6.3 – 6.5 ชั่วโมงต่อวัน) ความชื้นสัมพัทธ์ของอากาศมีประมาณร้อยละ 70 – 85 ปริมาณน้ำฝนในฤดูฝน (ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ถึงตุลาคม) มีร้อยละ 75 – 90 ส่วนในฤดูแล้ง (ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ถึงเมษายน) ปริมาณน้ำฝนมีเพียงร้อยละ 10 – 25 และปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยต่อปีของแต่เขตก็แตกต่างกันอย่างมากมาย เช่น เขตเทือกเขาบริเวณทางใต้ได้รับน้ำฝนเฉลี่ยปีละ 300 เซนติเมตร ขณะที่บริเวณแขวงเซียงขวาง
แขวงหลวงพะบาง แขวงไซยะบุลี ได้รับเพียงแค่ 100 – 150 เซนติเมตร ส่วนแขวงเวียงจันและสะหวันนะเขดในช่วง 150 – 200 เซนติเมตร เช่นเดียวกับ
แขวงพงสาลี แขวงหลวงน้ำทา และแขวงบ่อแก้ว
ประวัติศาสตร์ยุคแรกๆ ของลาว เชื่อว่าอยู่ภายใต้การครอบครองของอาณาจักรน่านเจ้ามีตำนานโดยขุนบรม และขุนลอ มีลูกสืบหลานต่อๆ กันมา จนถึงรัชสมัยพระเจ้าฟ้างุ้มผู้รวบรวมอาณาจักรล้านช้างได้เป็นผลสำเร็จในช่วงสมัยพุทธศตวรรษที่ 19 และมีกษัตริย์ปกครองสืบทอดต่อกันมาหลายพระองค์ ที่สำคัญ เช่น
พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช พระองค์มีความสัมพันธไมตรีที่แนบแน่นกับกษัตริย์ไทย โดยเฉพาะในรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ
พระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราช รัชสมัยของพระองค์นับเป็นยุคทองของราชอาณาจักรล้านช้าง
ภายหลังเมื่อพระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราชเสด็จสวรรคตแล้ว เชื้อพระวงศ์ลาวต่างก็แก่งแย่งราชสมบัติกัน จนอาณาจักรล้านช้างแตกแยกเป็น 3 ส่วนคือ อาณาจักรล้านช้างหลวงพระบาง อาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ และอาณาจักรล้านช้างจำปาศักดิ์ ต่างเป็นอิสระไม่ขึ้นแก่กัน และเพื่อชิงความเป็นใหญ่ต่างก็ขอสวามิภักดิ์ต่ออาณาจักรเพื่อนบ้าน เช่น ไทย พม่า เพื่อขอกำลังมาสยบอาณาจักรลาวด้วยกันในลักษณะนี้ ในที่สุดอาณาจักรลาวทั้ง 3 แห่งนี้จะตกเป็นประเทศราชของอาณาจักรสยามในปี พ.ศ. 2321
สยามได้ปกครองดินแดนลาวทั้งสามส่วนในฐานะประเทศราชรวม 114 ปี ในระยะเวลาดังกล่าวอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ได้ล่มสลายลงในปี พ.ศ. 2371 เนื่องจากในปี พ.ศ. 2369 พระเจ้าอนุวงศ์ กษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ได้พยายามทำสงครามเพื่อตั้งตนเป็นอิสระจากสยาม เนื่องจากไม่อาจทนต่อการกดขี่ของฝ่ายไทยได้ ทว่าหลังการปราบปรามของกองทัพไทยอย่างหนัก พระองค์เห็นว่าจะทำการไม่สำเร็จจึงตัดสินพระทัยหลบหนีไปพึ่งจักรวรรดิเวียดนามจนถึง พ.ศ. 2371 พระองค์จึงได้กลับมายังกรุงเวียงจันทน์พร้อมกับขบวนราชทูตเวียดนามพามาเพื่อขอสวามิภักดิ์สยามอีกครั้ง แต่พอสบโอกาสพระองค์จึงนำทหารของตนฆ่าทหารไทยที่รักษาเมืองจนเกือบหมดและยึดกรุงเวียงจันทน์คืน กองทัพสยามรวบรวมกำลังพลและยกทัพมาปราบปรามเจ้าอนุวงศ์อีกครั้งจนราบคาบ จนพระเจ้าอนุวงศ์ต้องหลบหนีไปยังเวียดนามและในคราวนี้เองที่พระองค์ทรงถูกเจ้าเมืองพวนจับกุมตัวและส่งลงมากรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระพิโรธเจ้าอนุวงศ์มากจึงทรงให้คุมขังเจ้าอนุวงศ์ประจานกลางพระนครจนสิ้นพระชนม์ ส่วนกรุงเวียงจันทน์ก็ทรงมีพระบรมราชโองการให้เผาทำลายจนไม่เหลือสภาพความเป็นเมือง และตั้งศูนย์กลางการปกครองฝ่ายไทยเพื่อดูแลอาณาเขตของอาณาจักรเวียงจันทน์ที่เมืองหนองคายแทน
พระบรมราชานุสาวรีย์พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชหน้าพระธาตุหลวง นครหลวงเวียงจันทน์]สมัยอาณานิคม การประกาศเอกราช และสงครามกลางเมือง
ในปี พ.ศ. 2436 สยามได้เกิดข้อขัดแย้งกับฝรั่งเศสในเรื่องอำนาจเหนือดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงจนเกิดวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 จากการใช้เล่ห์เหลี่ยมของโอกุสต์ ปาวีกงสุลฝรั่งเศส โดยการใช้เรือรบมาปิดอ่าวไทยเพื่อบังคับให้ยกดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง รวมทั้งดินแดนอื่น ๆ ดินแดนลาวเกือบทั้งหมดก็เปลี่ยนไปตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของประเทศฝรั่งเศสในปีนั้นและถูกรวมเป็นส่วนหนึ่งของอินโดจีนฝรั่งเศส ต่อมาภายหลังดินแดนลาวส่วนอื่นที่อยู่ฝั่งขวาของแม่น้ำโขงก็ตกเป็นของฝรั่งเศสอีกในปี พ.ศ. 2450
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพญี่ปุ่นได้รุกเข้ามาในลาวและดินแดนอินโดจีนฝรั่งเศสอื่นๆ เมื่อญี่ปุ่นใกล้แพ้สงครามขบวนการลาวอิสระซึ่งเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อกู้เอกราชลาวในเวลานั้นประกาศเอกราชให้ประเทศลาวเป็นประเทศ ราชอาณาจักรลาว หลังญี่ปุ่นแพ้สงคราม ฝรั่งเศสก็กลับเข้ามามีอำนาจในอินโดจีนอีกครั้งหนึ่ง แต่เนื่องจากการที่เวียดมินห์ปลดปล่อยเวียดนามได้ จึงเป็นการสั่นคลอนอำนาจฝรั่งเศสจนยอมให้ลาวประกาศเอกราชบางส่วนในปี พ.ศ. 2492 และได้เอกราชสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2496 ภายหลังฝรั่งเศสรบแพ้เวียดนามที่เดียนเบียนฟู ผู้ที่มีบทบาทในการประกาศเอกราชคือ เจ้าสุวรรณภูมา เจ้าเพชรราช และ เจ้าสุภานุวงศ์โดยมีเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้ามหาชีวิต (พระมหากษัตริย์) จากอาณาจักรล้านช้างหลวงพระบางเดิม และได้รวมทั้ง 3 อาณาจักรคือ ล้านช้างหลวงพระบาง ล้านช้างเวียงจันทน์ และ ล้านช้างจำปาศักดิ์ เข้าด้วยกันเป็นราชอาณาจักรลาว
พ.ศ. 2502 เจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์เสด็จสวรรคต เจ้าสว่างวัฒนาจึงขึ้นครองราชย์เป็นเจ้ามหาชีวิตแทน เหตุการณ์ในลาวยุ่งยากมาก เจ้าสุภานุวงศ์ 1 ในคณะลาวอิสระประกาศตนว่าเป็นพวกฝ่ายซ้ายนิยมคอมมิวนิสต์และเป็นหัวหน้าขบวนการปะเทดลาว ได้ออกไปเคลื่อนไหวทางการเมืองในป่า เนื่องจากถูกฝ่ายขวาในลาวคุกคามอย่างหนัก ถึงปี พ.ศ. 2504 ร้อยเอกกองแลทำการรัฐประหารรัฐบาลเจ้าสุวรรณภูมา แต่ถูกกองทัพฝ่ายขวาและฝ่ายซ้ายรุมจนพ่ายแพ้ กองแลต้องลี้ภัยไปสหรัฐจนถึงปัจจุบัน
เหตุการณ์ทางการเมืองในระยะเวลาไม่นานหลังจากนั้นบังคับให้ลาวต้องกลายเป็นสมรภูมิลับของสงครามเวียดนาม และเป็นปัจจัยก่อให้เกิดการรัฐประหารและสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อ ภายใต้การแทรกแซงของชาติต่างๆ ทั้งฝ่ายคอมมิวนิสต์และฝ่ายโลกเสรี จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2518 พรรคประชาชนปฏิวัติลาว ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหภาพโซเวียตและเวียดนามเหนือ โดยการนำของเจ้าสุภานุวงศ์ ก็ยึดอำนาจรัฐจากรัฐบาลประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกาสำเร็จ เจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนาทรงยินยอมสละราชสมบัติ พรรคประชาชนปฏิวัติลาวจึงประกาศสถาปนาประเทศลาวเป็น “สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว” อย่างเป็นทางการในวันที่ 2 ธันวาคมพ.ศ. 2518 โดยยังคงแต่ตั้งให้อดีตเจ้ามหาชีวิตเป็นที่ปรึกษาของรัฐบาลระบอบใหม่ แต่ภายหลังพรรคประชาชนปฏิวัติลาวก็ได้กุมตัวอดีตเจ้ามหาชีวิตและมเหสีไปคุมขังในค่ายกักกันจนสิ้นพระชนม์ เนื่องจากความขัดแย้งทางการเมืองในเวลาต่อมา]สมัยสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
สภาพการปกครอง และการบริหารด้านเศรษฐกิจของลาวเริ่มผ่อนคลายมากขึ้นในระยะหลังของทศวรรษ 2555 ต่อมาเมื่อเจ้าสุภานุวงศ์สละตำแหน่งจากประธาน ผู้ดำรงตำแหน่งประธานประเทศต่อจากเจ้าสุภานุวงศ์คือ ท่านไกสอน พมวิหาน และเมื่อท่านไกสอนถึงแก่กรรมกระทันหัน ท่าน หนูฮัก พูมสะหวัน ก็ได้ดำรงตำแหน่งประธานประเทศต่อมา ยุคนี้ลาวกับไทยเปิดสะพานมิตรภาพ ไทย – ลาว ในปี พ.ศ. 2538 ต่อมาท่านหนูฮักสละตำแหน่ง ท่านคำไต สีพันดอนรับดำรงตำแหน่งประธานประเทศต่อ จนถึงปี พ.ศ. 2549 ท่านคำไตลงจากตำแหน่ง ท่านจูมมะลี ไซยะสอน จึงเป็นผู้ที่รับตำแหน่งประธานประเทศลาว
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวมีระบบการปกครองแบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ (ทางการลาวใช้คำว่า ระบอบประชาธิปไตยประชาชน) โดยมีพรรคประชาชนปฏิวัติลาวเป็นองค์กรชี้นำประเทศ ซึ่งพรรคนี้เริ่มมีอำนาจสูงสุดตั้งแต่ลาวเริ่มปกครองในระบอบสังคมนิยมเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2518 ประธานประเทศ (ประธานาธิบดี) ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวคนปัจจุบัน ซึ่งมีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี คือ พลโทจูมมะลี ไซยะสอน (ดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่คณะบริหารงานศูนย์กลางพรรคประชาชนปฏิวัติลาวอีกตำแหน่งหนึ่ง) ส่วนนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันคือนายทองสิง ทำมะวง
สถาบันการเมืองที่สำคัญ
1. พรรคประชาชนปฏิวัติลาว
2. สภารัฐมนตรี (สภาแห่งชาติแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี)
3. สภาแห่งชาติลาว (ประชาชนเลือกสมาชิกสภาแห่งชาติจากผู้ที่พรรคฯ เสนอ)
4. แนวลาวสร้างชาติ
5. องค์กรจัดตั้ง เช่น สหพันธ์วัยหนุ่มลาว (สหพันธ์เยาวชน) สหพันธ์แม่หญิงลาว (สมาคมสตรี) กรรมบาลลาว(สหพันธ์กรรมกร) ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยพรรคประชาชนปฏิวัติการจัดตั้งและการบริหาร
หลายหมู่บ้านรวมกันเป็น เมือง (ก่อนหน้านี้จัดให้หลายหมู่บ้านรวมกันเป็น ตาแสง มีตาแสงเป็นผู้ปกครอง หลายตาแสงรวมกันจึงเรียกว่า เมือง)
หลายเมืองรวมกันเป็น แขวง
“คณะกรรมการปกครองหมู่บ้าน” มี นายบ้าน เป็นหัวหน้า เป็นผู้บริหารของหมู่บ้าน
“คณะกรรมการปกครองเมือง” มี เจ้าเมือง เป็นหัวหน้า เป็นผู้บริหารเมือง
“คณะกรรมการปกครองแขวง” มี เจ้าแขวง เป็นหัวหน้า เป็นผู้บริหารแขวง
“คณะกรรมการปกครองนครหลวง” มี เจ้าครองนครหลวง เป็นหัวหน้า เป็นผู้บริหารนครหลวง
http://th.wikipedia.org
วัฒนธรรมประเพณีลาว
งานออกพรรษาที่เชียงคาน มหัศจรรย์สองฝั่งโขง ฟื้นประเพณี “ผาสาดผึ้งลอยน้ำ” เผยการ
ลอยผาสาดลงน้ำโขงเป็นส่วนหนึ่งในการพิธีสะเดาะเคราะห์ท้องถิ่นแบบดั้งเดิม ลอยความ
อัปมงคลออกไปจากชีวิต
เทศกาลออกพรรษา ได้รวบรวมแหล่งท่องเที่ยวมากมาย ที่ผสมผสานระหว่างทรัพยากรธรรมชาติ
วิถีชีวิต
ในพื้นที่ริมสายน้ำโขง เป็นบ่อเกิดของวัฒนธรรมประเพณีที่น่าสนใจ จึงกำหนดจัดกิจกรรมเพื่อ
ส่งเสริมการท่องเที่ยวสำหรับตลาดในประเทศ ภายใต้ชื่อ “มหัศจรรย์ฝั่งโขง” ขึ้นเพื่อเผยแพร่ประชา
สัมพันธ์ การจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ วิถีชีวิต ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี
อันจะเป็นการช่วยกระตุ้นสร้างกระแสให้เกิดการรับรู้ความเป็นเอกลักษณ์ของ พื้นที่
โดยมุ่งหวังให้นักท่องเที่ยวตัดสินใจ และเลือกเดินทางท่องเที่ยวในกิจกรรมต่างๆ ตามพื้นที่ดังกล่าว
ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีพรมแดนติดแม่น้ำโขง ทั้งเขตภาคเหนือ เชื่อมโยงสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
อันจะช่วยให้เกิดการเดินทางเชื่อมโยงในกลุ่มจังหวัด และระหว่างภูมิภาค เหมาะสมในการส่งเสริม
ให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างภูมิภาค ในแถบลุ่มแม่น้ำโขง
จังหวัดเลยถือเป็นอีกจังหวัดหนึ่งที่มีแม่น้ำโขงไหลผ่าน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงาน
เลย และเทศบาลตำบลเชียงคานได้ส่งประเพณีวัฒนธรรมของชาวอำเภอเชียงคานเข้าร่วม บรรจุไว้ใน
โปรแกรมท่องเที่ยวครั้งนี้ด้วย ภายใต้ชื่องาน ว่า “ลอยผาสาด ดารดาษนทีโขง เชื่อมโยงวัฒนธรรมไทดำ
น่าขำผีขนน้ำ” ระหว่างวันที่ 1-15 ต.ค. ที่ อ.เชียงคาน
นายกมล คงปิ่น นายกเทศบาลตำบลเชียงคาน กล่าวว่า ปีนี้งานออกพรรษาที่เชียงคาน จัดขึ้นเป็น
พิเศษ นอกจากจะมีแห่ปราสาทผึ้ง ไหลเรือไฟ จะมีพิธี “ผาสาดลอยน้ำ” ถือเป็นไฮไลต์ของงาน
โดยประเพณีดังกล่าวถูกหลงลืม เลิกเล่นไปนานแล้ว ทั้งที่เป็นส่วนหนึ่งของพิธีสะเดาะเคราะห์
แบบดั้งเดิมของท้องถิ่น โดยเจ้าของผาสาด ลักษณะคล้ายกระทง นำความโชคร้ายสิ่งที่ไม่ดีปล่อยไหล
ไปตามแม่น้ำโขง โดยจะจัดขึ้นในช่วงค่ำคืนของวันที่ 14 ตุลาคม 2551 ทางเทศบาลได้เตรียมผาสาด
จำนวนมากไว้สำหรับให้นักท่องเที่ยวลงไปลอยเพื่อความ เป็นศิริมงคลแก่ชีวิตด้วย
นอกจากนี้ยังมีการรื้อฟื้นประเพณีเรือไฟบกทำเป็นเรือเล็ก ซึ่งใช้ไม้ไผ่และใช้เทียนปักบนเรือ
จุดยามค่ำคืนตามหน้าบ้านหรือสถานที่ต่างๆ เพื่อให้เกิดแสงสว่างไสวช่วงงานออกพรรษา
เมษายน ของทุกปี เป็นงานประเพณีสงกรานต์ที่มีความพิเศษแตกต่างจากท้องถิ่นอื่น เนื่องจากจะ
มีประชาชนจากประเทศลาวเข้ามาร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดขึ้น ได้แก่การประกวดเทพีสงกรานต์ และ
ร่วมเล่นน้ำสงกรานต์กับชาวไทยงานประเพณีบุญบั้งไฟล้าน จัดขึ้นที่บริเวณวัดเอราวัณพัฒนารามกิ่ง
อำเภอเอราวัณ ในช่วงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6http://www.chiangkhan.com
งานประเพณีต่าง ๆ ของชาวลาวนอกจากวิถีชีวิตความเป็นอยู่และภาษาที่ไทย – ลาวมีความคล้ายคลึงกันแล้ว
งานประเพณีต่าง ๆ ตลอดปีของลาวก็ดูไม่ต่างจากชาวไทยในภาคอีสานนัก เกือบทั้งหมดเป็นงานประเพณี
ที่เกี่ยวเนื่องกับพุทธศาสนาเรียกกันว่า “ฮีตสิบสอง”
• ฮีต หมายถึง จารีต
• สิบสอง หมายถึง เดือนทั้ง 12 เดือนในรอบหนึ่งปี
ชาวหลวงพระบางมีงานประเพณีครบทั้งสิบสองเดือนในหนึ่งปี
• เดือนอ้าย : บุญเข้ากรรม
ช่วงที่จัด : เดือนธันวาคม ซึ่งอยู่ในช่วงฤดูหนาว
ลักษณะงาน : จุดประสงค์ของงานนี้เพื่อให้พระภิกษุ เข้าพิธีกรรมปลงอาบัติด้วยการอยู่ในเขตที่จำกัด เพื่อชำระจิตใจให้สะอาด
• เดือนยี่ : บุญคูณลาน
ช่วงที่จัด : หลังฤดูเก็บเกี่ยว
ลักษณะงาน : ก่อนที่จะนำข้าวที่นวดแล้วไปเก็บในยุ้งข้าว จะมีการทำบุญขวัญข้าว มีการนิมนต์พระภิกษุมาสวดเป็นสิริมงคล และเป็นนิมิตรหมายที่ดีให้ปีต่อๆไปทำนาเกิดผลดียิ่งๆขึ้น
• เดือนสาม : บุญข้าวจี่
ช่วงที่จัด : หลังงานมาฆะบูชา
ลักษณะงาน : ชาวนาจะนำข้าวจี่หรือข้าวเหนียวที่นึ่งสุกแล้ว ปั้นเป็นก้อนเท่าไข่เป็ดทาเกลือ นำไปเสียบไม้ย่าง จากนั้นตีไข่ทาให้ทั่วแล้วย่างจนไข่สุกและถอดไม่เสียบออกนำน้ำตาลอ้อยยัดลงตรงกลางเป็นไส้ นำถวายพระสงฆ์ในช่วงที่หมดฤดูทำนาแล้ว เพื่อเป็นการทำบุญ
• เดือนสี่ : บุญพระเวส
ช่วงที่จัด : เดือนสี่ข้างขึ้นหรือข้างแรมก็ได้
ลักษณะงาน : งานบุญพระเวสหรืองานบุญมหาชาติ เช่นเดียวกับงานฟังเทศพระเวสสันดรชาดก อันเป็นชาดกที่ยิ่งใหญ่ ชาวบ้านจะช่วยกันตกแต่งประดับประดาโรงธรรมด้วยดอกไม้ ใช้ดอกบัวประดับธรรมมาสน์ มีการจัดรูปขบวนแห่พระเวสสันดรและนางมัทรีออกจากป่าเข้าในเมืองไปสิ้นสุดที่พระอุโบสถ มีการเทศน์มหาเวสสันดรตลอดวัน
• เดือนห้า : บุญสงกรานต์
ช่วงที่จัด : ตรุษสงกรานต์
ลักษณะงาน : นับเป็นงานที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวมากที่สุดและยังถือเป็นวันปีใหม่ของลาวเช่นเดียวกับของไทย
วันแรกของงานเรียกว่า “วันสงขารล่อง” ชาวหลวงพระบางจะไปจับจ่ายซื้อของและธงรูปพระพุทธเจ้า เพื่อไปปักกองเจดีย์ทรายริมแม่น้ำโขง ตกเย็นมีการลอยกระทง ภายในกระทงบรรจุกล้วย ขิง ข้าวดำ ข้าวแดง ดอกไม้ ใบพลู ธูป เทียน ดอกดาวเรือง ผมและเล็บของผู้ลอย อธิษฐานให้ทุกข์โศกโรคภัยลอยไปกับกระทง
วันที่สอง เรียกว่า “วันเนา” ช่วงเช้ามีการแห่รูปหุ่นเชิดปู่เยอย่าเยอและสิงห์แก้ว สิงห์คำ ช่วงบ่ายขบวนแห่ซึ่งนำโดยปู่เยอย่าเยอ ผู้เฒ่าผู้แก่ หัวหน้าหมู่บ้านแต่ละหมู่บ้าน ขบวนพระสงฆ์ นางสงกรานต์ (นางวอ) ขี่สัตว์พาหนะบนรถแห่ ปู่เยอย่าเยอก็จะฟ้อนรำ อวยพระให้ลูกหลาน
วันที่สาม เรียกว่า “วันสังขารขึ้น” ชาวหลวงพระบางทำข้าวเหนียวนึ่งและนมลูกกวาด พากันเดินขึ้นภูษี ภูเขาสูงกลางเมืองหลวงพระบาง ระหว่างเดินจะวางข้าวเหนียวและขนมไว้ตามหัวเสาบันไดจนถึงองค์พระธาตุ วิธีการนี้เรียกว่าเป็นการตักบาตรภูษี มีการโยนข้าวเหนียวลงป่าข้างองค์พระธาตุเป็นการให้ทาน ช่วงบ่ายมีขบวนแห่นางสังขารและอัญเชิญศีรษะท้าวกบิลพรหมจากวัดเชียงทองไปยังวัดวิชุน มีการสรงน้ำพระที่วัดวิชุน
วันที่สี่ นับเป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งมีการแห่พระบาง พระพุทธรูปคู่เมืองหลวงพระบาง ปีหนึ่งจะอัญเชิญออกมาให้ชาวเมืองสรงน้ำ พระบางนี้จะประดิษฐานอยู่ที่วัดใหม่เป็นเวลา 3 วัน 3 คืน จากนั้นจะอัญเชิญกลับหอพิพิธภัณฑ์เหมือนเดิม
• เดือนหก : บุญบั้งไฟ
ช่วงที่จัด : เดือนหกก่อนฤดูกาลทำนามาถึง ย่างเข้าฤดูฝน
ลักษณะงาน : คล้ายกับงานบุญบั้งไฟของภาคอีสาน จุดประสงค์เพื่อบูชาหลักเมือง และขอให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล ปีใดที่ไม่มีการทำบุญบั้งไฟเชื่อว่าปีนั้นจะเกิดเภทภัยต่างๆ และเป็นสัญญาณว่าฤดูการทำนาจะเริ่มต้นแล้ว นับเป็นงานที่กระทำกันมาแต่โบราณ
• เดือนเจ็ด : บุญซำฮะ
ช่วงที่จัด : เดือนเจ็ด
ลักษณะงาน : งานเล็กๆ แต่สำคัญ จุดประสงค์เพื่อเป็นการชำระล้างเสนียดจัญไร ที่จะเกิดกับบ้านเมือง เพื่อให้บ้านเมืองมีความสงบสุข
• เดือนแปด : บุญเข้าพรรษา
ช่วงที่จัด : วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8
ลักษณะงาน : เป็นการเริ่มต้นฤดูเข้าพรรษาเหมือนชาวไทย พระสงฆ์จะหยุดออกบิณฑบาตรเป็นเวลา 3 เดือนตามพุทธบัญญัติ นับแต่วันเข้าพรรษาเป็นต้นไปในวันแรกนี้จะมีการทำบุญกันที่วัดต่างๆ
• เดือนเก้า : บุญห่อข้าวประดับดิน การส่วงเฮือ และการล่องเฮือไฟ
ช่วงที่จัด : เดือนเก้า
ลักษณะงาน : บุญห่อข้าวประดับดิน เป็นการทำพิธีกรรมอุทิศส่วนกุศลให้กับวิญาณบรรพบุรุษ และวิญญาณไร้ญาติให้ออกมารับส่วนบุญ ชาวบ้านจะนำอาหารหวานคาว บุหรี่ หมาก พลู ใส่ลงในกรวยใบตองไปวางตามพื้นดินหรือใต้ต้นไม้บริเวณรั้วบ้าน รั้ววัด
การส่วงเฮือ
ส่วง หมายถึง แข่งขัน
เฮือ หมายถึง เรือ
เป็นงานบุญแข่งเรือประจำเดือนเก้า ทุกคุ้ม (หมู่บ้าน) จะนำเรือเข้าแข่งขัน ในอดีตการแข่งเรือถือเป็นการฝึกซ้อมฝีพายเพื่อต่อสู้ข้าศึกที่มาทางน้ำ ปัจจุบันนับเป็นงานบุญที่สนุกสนานงานหนึ่งของชาวหลวงพระบาง
• เดือนสิบ : บุญข้าวสาก
ช่วงที่จัด : วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10
ลักษณะงาน : จุดประสงค์ของการจัดงานเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้คนตายหรือเปรต ห่างจากงานวันบุญข้าวประดับดิน 15 วัน อันเป็นเวลาที่เปรตต้องกับไปยังที่อยู่ของตน
• เดือนสิบเอ็ด : บุญออกพรรษา
ช่วงที่จัด : วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11
ลักษณะงาน : เป็นงานตักบาตรเทโว มีการจัดอาหารไปถวายพระภิกษุสามเณร มีการกวนข้าวทิพย์ (กระยาสารท) ถวาย มีการถวายผ้าจำนำพรรษาและปราสาทผึ้ง โดยการนำไม้ไผ่มาสานเป็นรูปปราสาท ตกแต่งสวยงาม จัดขบวนแห่ปราสาทผึ้งไปถวายพระในตอนค่ำเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับ
• เดือนสิบสอง : บุญกฐิน
ช่วงที่จัด : แรม 1 ค่ำ เดือน 11 – เดือนเพ็ญ เดือน 12
ลักษณะงาน : เป็นการถวายผ้าแด่พระสงฆ์ที่จำพรรษามาตลอดช่วงเข้าพรรษา นับเป็นงานบุญที่กระทำกันมาแต่โบราณ
http://www.oceansmile.com
วิถีชีวิต
ชาวลาวเป็นกลุ่มชนที่รักความอิสระ กล้าหาญ ซื่อสัตย์ รักความสงบ มีเสรีภาพในการเลือกคู่ครองมีประเพณีแอ่วสาว เป็นการที่หนุ่มสาว มีโอกาสได้ทำความรู้จักกัน
วัฒนธรรมประเพณีทางด้านภาษา
ภาษาประจำชาติคือ ภาษาลาวมีลักษณะใกล้เคียงกับภาษาไทยทางภาคอีสานของไทย นอกจากนี้คนลาวบางส่วนยังสามารถใช้ภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศลได้ดี สำหรับประชาชนชาวลาวทางตอนเหนือของประเทศสำเนียงการพูด และความหมายของคำบางคำคล้ายกับภาษาพื้นเมืองในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย และเลย ทางตอนเหนือของประเทศไทย
วัฒนธรรมและประเพณีการแต่งกาย
ประชากรส่วนใหญ่นิยมนุ่งผ้าซิ้น ซึ่งเป็นผ้าฝ้ายและผ้าไหม การทำลวดลายบนผืนผ้า ก็ใช้วิธีการทอสลับเส้นด้ายลวดลายต่าง ๆ ห่มสไบเฉียง สวมเสื้อแขนกระบอกและนิยมเกล้าผม
วัฒนธรรมและประเพณีด้านอาหาร
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
ในภาษาอังกฤษ คำว่าลาว ที่หมายถึงประเทศสะกดว่า “Laos” และ ลาวที่หมายถึงคนลาว และภาษาลาวใช้ “Lao” ในบางครั้งจะเห็นมีการใช้คำว่า “Laotian” แทนเนื่องจากป้องกันการสับสนกับเชื้อชาติลาว ที่สะกดว่า Ethnic Lao ประเทศลาว หรือชื่ออย่างเป็นทางการ คือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (Lao People’s Democratic Republice)
ที่ตั้งและอาณาเขต
ประเทศลาวเป็นประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งตั้งอยู่บนใจกลางของคาบสมุทรอินโดจีนระหว่างละติจูดที่ 14 – 23 องศาเหนือ ลองติจูดที่ 100 – 108 องศาตะวันออก มีพื้นที่โดยรวมประมาณ 236,800 ตารางกิโลเมตร แบ่งเป็นภาคพื้นดิน 230,800 ตารางกิโลเมตร ภาคพื้นน้ำ 6,000 km² โดยลาวเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล เนื่องด้วยตลอดแนวชายแดนของประเทศลาว ซึ่งมีความยาวรวม 5,083 กิโลเมตร ล้อมรอบด้วยชายแดนของประเทศเพื่อนบ้าน 5 ประเทศ เรียงตามเข็มนาฬิกา ดังนี้
ทิศเหนือ ติดกับประเทศจีน (1 กิโลเมตร)
ทิศตะวันออก ติดกับประเทศเวียดนาม (2,130 กิโลเมตร)
ทิศใต้ ติดกับประเทศไทย (1,754 กิโลเมตร) และประเทศกัมพูชา (541 กิโลเมตร)
ทิศตะวันตก ติดกับประเทศไทย (1,754 กิโลเมตร) และประเทศพม่า (235 กิโลเมตร)
ความยาวพื้นที่ประเทศลาวตั้งแต่เหนือจรดใต้ยาวประมาณ 1,700 กว่ากิโลเมตร ส่วนที่กว้างที่สุดกว้าง 500 กิโลเมตร และที่แคบที่สุด 140 กิโลเมตร เนื้อที่ทั้งหมด 236,800 ตารางกิโลเมตร
ลักษณะภูมิประเทศ
ภูมิประเทศของลาวอาจแบบได้เป็น 3 เขต คือ
1. เขตภูเขาสูง เป็นพื้นที่ที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลโดยเฉลี่ย 1,500 เมตรขึ้นไป พื้นที่นี้อยู่ในเขตภาคเหนือของประเทศ
2. เขตที่ราบสูง คือพื้นที่ซึ่งสูงกว่าระดับน้ำทะเลเฉลี่ย 1,000 เมตร ปรากฏตั้งแต่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของที่ราบสูงเมืองพวนไปจนถึงชายแดนกัมพูชา เขตที่ราบสูงนี้มีที่ราบสูงขนาดใหญ่อยู่ 3 แห่ง ได้แก่ ที่ราบสูงเมืองพวน (แขวงเชียงขวาง), ที่ราบสูงนากาย (แขวงคำม่วน) และที่ราบสูงบริเวณ (ภาคใต้)
3. เขตที่ราบลุ่ม เป็นเขตที่ราบตามแนวฝั่งแม่น้ำโขงและแม่น้ำต่างๆ เป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์มากที่สุดในเขตพื้นที่ทั้ง 3 เขต นับเป็นพื้นที่อู่ข้าวอู่น้ำที่สำคัญของประเทศ แนวที่ราบลุ่มเหล่านี้เริ่มปรากฏตั้งแต่บริเวณตอนใต้ของแม่น้ำงึม เรียกว่า ที่ราบลุ่มเวียงจันทน์ ผ่านที่ราบลุ่มสะหวันนะเขด ซึ่งอยู่ตอนใต้เซบั้งไฟและเซบั้งเหียง และที่ราบจำปาสักทางภาคใต้ของลาว ซึ่งปรากฏตามแนวแม่น้ำโขงเรื่อยไปจนจดชายแดนประเทศกัมพูชา
ทั้งนี้ เมื่อนำเอาพื้นที่ของเขตภูเขาสูงและเขตที่ราบสูงมารวมกันแล้ว จะมากถึง 3 ใน 4 ของพื้นที่ประเทศลาวทั้งหมด โดยจุดที่สูงที่สุดของประเทศลาวอยู่ที่ภูเบี้ย ในแขวงเชียงขวาง วัดความสูงได้ 2,817 เมตร (9,242 ฟุต)
ประเทศลาวมีแม่น้ำสายสำคัญอยู่หลายสาย โดยแม่น้ำซึ่งเป็นสายหัวใจหลักของประเทศคือแม่น้ำโขง ซึ่งไหลผ่านประเทศลาวเป็นระยะทาง 1,835 กิโลเมตร แม่น้ำสายนี้เป็นแม่น้ำสำคัญทั้งในด้านเกษตรกรรม การประมง การผลิตพลังงานไฟฟ้า การคมนาคมจากลาวเหนือไปจนถึงลาวใต้ และการใช้เป็นพรมแดนธรรมชาติระหว่างประเทศลาวกับประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากนี้ แม่น้ำสายสำคัญของลาวแห่งอื่นๆ ยังได้แก่
แม่น้ำอู (พงสาลี – หลวงพระบาง) ยาว 448 กิโลเมตร
แม่น้ำงึม (เชียงขวาง-เวียงจันทน์) ยาว 353 กิโลเมตร
แม่น้ำเซบั้งเหียง (สะหวันนะเขด) ยาว 338 กิโลเมตร
แม่น้ำทา (หลวงน้ำทา-บ่อแก้ว) ยาว523กิโลเมตร
แม่น้ำเซกอง (สาละวัน-เซกอง-อัดตะบือ) ยาว 320 กิโลเมตร
แม่น้ำเซบั้งไฟ (คำม่วน-สะหวันนะเขด) ยาว 239 กิโลเมตร
แม่น้ำแบ่ง (อุดมไซ) ยาว 215 กิโลเมตร
แม่น้ำเซโดน (สาละวัน-จำปาสัก) ยาว 192 กิโลเมตร
แม่น้ำเซละนอง (สะหวันนะเขด) ยาว 115 กิโลเมตร
แม่น้ำกะดิ่ง (บอลิคำไซ) ยาว 103 กิโลเมตร
แม่น้ำคาน (หัวพัน-หลวงพระบาง) ยาว 90 กิโลเมตร
ลักษณะภูมิอากาศที่ลาว
สปป. ลาวอยู่ในภูมิอากาศเขตร้อน มีลมมรสุมแต่ไม่มีลมพายุ สำหรับเขตภูเขาภาคเหนือ และ เขตเทือกเขา อากาศมีลักษณะกึ่งร้อนกึ่งหนาว อุณหภูมิสะสมเฉลี่ยประจำปีสูงถึง 15-30 องศาเซลเซียส และความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างกลางวันและกลางคืนมีประมาณ 10 องศาเซลเซียส จำนวนชั่วโมงที่มีแสงแดดต่อปีประมาณ 2,300 – 2,400 ชั่วโมง (ประมาณ 6.3 – 6.5 ชั่วโมงต่อวัน) ความชื้นสัมพัทธ์ของอากาศมีประมาณร้อยละ 70 – 85 ปริมาณน้ำฝนในฤดูฝน (ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ถึงตุลาคม) มีร้อยละ 75 – 90 ส่วนในฤดูแล้ง (ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ถึงเมษายน) ปริมาณน้ำฝนมีเพียงร้อยละ 10 – 25 และปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยต่อปีของแต่เขตก็แตกต่างกันอย่างมากมาย เช่น เขตเทือกเขาบริเวณทางใต้ได้รับน้ำฝนเฉลี่ยปีละ 300 เซนติเมตร ขณะที่บริเวณแขวงเซียงขวาง
แขวงหลวงพะบาง แขวงไซยะบุลี ได้รับเพียงแค่ 100 – 150 เซนติเมตร ส่วนแขวงเวียงจันและสะหวันนะเขดในช่วง 150 – 200 เซนติเมตร เช่นเดียวกับ
แขวงพงสาลี แขวงหลวงน้ำทา และแขวงบ่อแก้ว
ประวัติศาสตร์ยุคแรกๆ ของลาว เชื่อว่าอยู่ภายใต้การครอบครองของอาณาจักรน่านเจ้ามีตำนานโดยขุนบรม และขุนลอ มีลูกสืบหลานต่อๆ กันมา จนถึงรัชสมัยพระเจ้าฟ้างุ้มผู้รวบรวมอาณาจักรล้านช้างได้เป็นผลสำเร็จในช่วงสมัยพุทธศตวรรษที่ 19 และมีกษัตริย์ปกครองสืบทอดต่อกันมาหลายพระองค์ ที่สำคัญ เช่น
พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช พระองค์มีความสัมพันธไมตรีที่แนบแน่นกับกษัตริย์ไทย โดยเฉพาะในรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ
พระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราช รัชสมัยของพระองค์นับเป็นยุคทองของราชอาณาจักรล้านช้าง
ภายหลังเมื่อพระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราชเสด็จสวรรคตแล้ว เชื้อพระวงศ์ลาวต่างก็แก่งแย่งราชสมบัติกัน จนอาณาจักรล้านช้างแตกแยกเป็น 3 ส่วนคือ อาณาจักรล้านช้างหลวงพระบาง อาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ และอาณาจักรล้านช้างจำปาศักดิ์ ต่างเป็นอิสระไม่ขึ้นแก่กัน และเพื่อชิงความเป็นใหญ่ต่างก็ขอสวามิภักดิ์ต่ออาณาจักรเพื่อนบ้าน เช่น ไทย พม่า เพื่อขอกำลังมาสยบอาณาจักรลาวด้วยกันในลักษณะนี้ ในที่สุดอาณาจักรลาวทั้ง 3 แห่งนี้จะตกเป็นประเทศราชของอาณาจักรสยามในปี พ.ศ. 2321
สยามได้ปกครองดินแดนลาวทั้งสามส่วนในฐานะประเทศราชรวม 114 ปี ในระยะเวลาดังกล่าวอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ได้ล่มสลายลงในปี พ.ศ. 2371 เนื่องจากในปี พ.ศ. 2369 พระเจ้าอนุวงศ์ กษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ได้พยายามทำสงครามเพื่อตั้งตนเป็นอิสระจากสยาม เนื่องจากไม่อาจทนต่อการกดขี่ของฝ่ายไทยได้ ทว่าหลังการปราบปรามของกองทัพไทยอย่างหนัก พระองค์เห็นว่าจะทำการไม่สำเร็จจึงตัดสินพระทัยหลบหนีไปพึ่งจักรวรรดิเวียดนามจนถึง พ.ศ. 2371 พระองค์จึงได้กลับมายังกรุงเวียงจันทน์พร้อมกับขบวนราชทูตเวียดนามพามาเพื่อขอสวามิภักดิ์สยามอีกครั้ง แต่พอสบโอกาสพระองค์จึงนำทหารของตนฆ่าทหารไทยที่รักษาเมืองจนเกือบหมดและยึดกรุงเวียงจันทน์คืน กองทัพสยามรวบรวมกำลังพลและยกทัพมาปราบปรามเจ้าอนุวงศ์อีกครั้งจนราบคาบ จนพระเจ้าอนุวงศ์ต้องหลบหนีไปยังเวียดนามและในคราวนี้เองที่พระองค์ทรงถูกเจ้าเมืองพวนจับกุมตัวและส่งลงมากรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระพิโรธเจ้าอนุวงศ์มากจึงทรงให้คุมขังเจ้าอนุวงศ์ประจานกลางพระนครจนสิ้นพระชนม์ ส่วนกรุงเวียงจันทน์ก็ทรงมีพระบรมราชโองการให้เผาทำลายจนไม่เหลือสภาพความเป็นเมือง และตั้งศูนย์กลางการปกครองฝ่ายไทยเพื่อดูแลอาณาเขตของอาณาจักรเวียงจันทน์ที่เมืองหนองคายแทน
พระบรมราชานุสาวรีย์พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชหน้าพระธาตุหลวง นครหลวงเวียงจันทน์]สมัยอาณานิคม การประกาศเอกราช และสงครามกลางเมือง
ในปี พ.ศ. 2436 สยามได้เกิดข้อขัดแย้งกับฝรั่งเศสในเรื่องอำนาจเหนือดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงจนเกิดวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 จากการใช้เล่ห์เหลี่ยมของโอกุสต์ ปาวีกงสุลฝรั่งเศส โดยการใช้เรือรบมาปิดอ่าวไทยเพื่อบังคับให้ยกดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง รวมทั้งดินแดนอื่น ๆ ดินแดนลาวเกือบทั้งหมดก็เปลี่ยนไปตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของประเทศฝรั่งเศสในปีนั้นและถูกรวมเป็นส่วนหนึ่งของอินโดจีนฝรั่งเศส ต่อมาภายหลังดินแดนลาวส่วนอื่นที่อยู่ฝั่งขวาของแม่น้ำโขงก็ตกเป็นของฝรั่งเศสอีกในปี พ.ศ. 2450
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพญี่ปุ่นได้รุกเข้ามาในลาวและดินแดนอินโดจีนฝรั่งเศสอื่นๆ เมื่อญี่ปุ่นใกล้แพ้สงครามขบวนการลาวอิสระซึ่งเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อกู้เอกราชลาวในเวลานั้นประกาศเอกราชให้ประเทศลาวเป็นประเทศ ราชอาณาจักรลาว หลังญี่ปุ่นแพ้สงคราม ฝรั่งเศสก็กลับเข้ามามีอำนาจในอินโดจีนอีกครั้งหนึ่ง แต่เนื่องจากการที่เวียดมินห์ปลดปล่อยเวียดนามได้ จึงเป็นการสั่นคลอนอำนาจฝรั่งเศสจนยอมให้ลาวประกาศเอกราชบางส่วนในปี พ.ศ. 2492 และได้เอกราชสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2496 ภายหลังฝรั่งเศสรบแพ้เวียดนามที่เดียนเบียนฟู ผู้ที่มีบทบาทในการประกาศเอกราชคือ เจ้าสุวรรณภูมา เจ้าเพชรราช และ เจ้าสุภานุวงศ์โดยมีเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้ามหาชีวิต (พระมหากษัตริย์) จากอาณาจักรล้านช้างหลวงพระบางเดิม และได้รวมทั้ง 3 อาณาจักรคือ ล้านช้างหลวงพระบาง ล้านช้างเวียงจันทน์ และ ล้านช้างจำปาศักดิ์ เข้าด้วยกันเป็นราชอาณาจักรลาว
พ.ศ. 2502 เจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์เสด็จสวรรคต เจ้าสว่างวัฒนาจึงขึ้นครองราชย์เป็นเจ้ามหาชีวิตแทน เหตุการณ์ในลาวยุ่งยากมาก เจ้าสุภานุวงศ์ 1 ในคณะลาวอิสระประกาศตนว่าเป็นพวกฝ่ายซ้ายนิยมคอมมิวนิสต์และเป็นหัวหน้าขบวนการปะเทดลาว ได้ออกไปเคลื่อนไหวทางการเมืองในป่า เนื่องจากถูกฝ่ายขวาในลาวคุกคามอย่างหนัก ถึงปี พ.ศ. 2504 ร้อยเอกกองแลทำการรัฐประหารรัฐบาลเจ้าสุวรรณภูมา แต่ถูกกองทัพฝ่ายขวาและฝ่ายซ้ายรุมจนพ่ายแพ้ กองแลต้องลี้ภัยไปสหรัฐจนถึงปัจจุบัน
เหตุการณ์ทางการเมืองในระยะเวลาไม่นานหลังจากนั้นบังคับให้ลาวต้องกลายเป็นสมรภูมิลับของสงครามเวียดนาม และเป็นปัจจัยก่อให้เกิดการรัฐประหารและสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อ ภายใต้การแทรกแซงของชาติต่างๆ ทั้งฝ่ายคอมมิวนิสต์และฝ่ายโลกเสรี จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2518 พรรคประชาชนปฏิวัติลาว ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหภาพโซเวียตและเวียดนามเหนือ โดยการนำของเจ้าสุภานุวงศ์ ก็ยึดอำนาจรัฐจากรัฐบาลประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกาสำเร็จ เจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนาทรงยินยอมสละราชสมบัติ พรรคประชาชนปฏิวัติลาวจึงประกาศสถาปนาประเทศลาวเป็น “สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว” อย่างเป็นทางการในวันที่ 2 ธันวาคมพ.ศ. 2518 โดยยังคงแต่ตั้งให้อดีตเจ้ามหาชีวิตเป็นที่ปรึกษาของรัฐบาลระบอบใหม่ แต่ภายหลังพรรคประชาชนปฏิวัติลาวก็ได้กุมตัวอดีตเจ้ามหาชีวิตและมเหสีไปคุมขังในค่ายกักกันจนสิ้นพระชนม์ เนื่องจากความขัดแย้งทางการเมืองในเวลาต่อมา]สมัยสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
สภาพการปกครอง และการบริหารด้านเศรษฐกิจของลาวเริ่มผ่อนคลายมากขึ้นในระยะหลังของทศวรรษ 2555 ต่อมาเมื่อเจ้าสุภานุวงศ์สละตำแหน่งจากประธาน ผู้ดำรงตำแหน่งประธานประเทศต่อจากเจ้าสุภานุวงศ์คือ ท่านไกสอน พมวิหาน และเมื่อท่านไกสอนถึงแก่กรรมกระทันหัน ท่าน หนูฮัก พูมสะหวัน ก็ได้ดำรงตำแหน่งประธานประเทศต่อมา ยุคนี้ลาวกับไทยเปิดสะพานมิตรภาพ ไทย – ลาว ในปี พ.ศ. 2538 ต่อมาท่านหนูฮักสละตำแหน่ง ท่านคำไต สีพันดอนรับดำรงตำแหน่งประธานประเทศต่อ จนถึงปี พ.ศ. 2549 ท่านคำไตลงจากตำแหน่ง ท่านจูมมะลี ไซยะสอน จึงเป็นผู้ที่รับตำแหน่งประธานประเทศลาว
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวมีระบบการปกครองแบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ (ทางการลาวใช้คำว่า ระบอบประชาธิปไตยประชาชน) โดยมีพรรคประชาชนปฏิวัติลาวเป็นองค์กรชี้นำประเทศ ซึ่งพรรคนี้เริ่มมีอำนาจสูงสุดตั้งแต่ลาวเริ่มปกครองในระบอบสังคมนิยมเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2518 ประธานประเทศ (ประธานาธิบดี) ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวคนปัจจุบัน ซึ่งมีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี คือ พลโทจูมมะลี ไซยะสอน (ดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่คณะบริหารงานศูนย์กลางพรรคประชาชนปฏิวัติลาวอีกตำแหน่งหนึ่ง) ส่วนนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันคือนายทองสิง ทำมะวง
สถาบันการเมืองที่สำคัญ
1. พรรคประชาชนปฏิวัติลาว
2. สภารัฐมนตรี (สภาแห่งชาติแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี)
3. สภาแห่งชาติลาว (ประชาชนเลือกสมาชิกสภาแห่งชาติจากผู้ที่พรรคฯ เสนอ)
4. แนวลาวสร้างชาติ
5. องค์กรจัดตั้ง เช่น สหพันธ์วัยหนุ่มลาว (สหพันธ์เยาวชน) สหพันธ์แม่หญิงลาว (สมาคมสตรี) กรรมบาลลาว(สหพันธ์กรรมกร) ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยพรรคประชาชนปฏิวัติการจัดตั้งและการบริหาร
หลายหมู่บ้านรวมกันเป็น เมือง (ก่อนหน้านี้จัดให้หลายหมู่บ้านรวมกันเป็น ตาแสง มีตาแสงเป็นผู้ปกครอง หลายตาแสงรวมกันจึงเรียกว่า เมือง)
หลายเมืองรวมกันเป็น แขวง
“คณะกรรมการปกครองหมู่บ้าน” มี นายบ้าน เป็นหัวหน้า เป็นผู้บริหารของหมู่บ้าน
“คณะกรรมการปกครองเมือง” มี เจ้าเมือง เป็นหัวหน้า เป็นผู้บริหารเมือง
“คณะกรรมการปกครองแขวง” มี เจ้าแขวง เป็นหัวหน้า เป็นผู้บริหารแขวง
“คณะกรรมการปกครองนครหลวง” มี เจ้าครองนครหลวง เป็นหัวหน้า เป็นผู้บริหารนครหลวง
http://th.wikipedia.org
วัฒนธรรมประเพณีลาว
งานออกพรรษาที่เชียงคาน มหัศจรรย์สองฝั่งโขง ฟื้นประเพณี “ผาสาดผึ้งลอยน้ำ” เผยการ
ลอยผาสาดลงน้ำโขงเป็นส่วนหนึ่งในการพิธีสะเดาะเคราะห์ท้องถิ่นแบบดั้งเดิม ลอยความ
อัปมงคลออกไปจากชีวิต
เทศกาลออกพรรษา ได้รวบรวมแหล่งท่องเที่ยวมากมาย ที่ผสมผสานระหว่างทรัพยากรธรรมชาติ
วิถีชีวิต
ในพื้นที่ริมสายน้ำโขง เป็นบ่อเกิดของวัฒนธรรมประเพณีที่น่าสนใจ จึงกำหนดจัดกิจกรรมเพื่อ
ส่งเสริมการท่องเที่ยวสำหรับตลาดในประเทศ ภายใต้ชื่อ “มหัศจรรย์ฝั่งโขง” ขึ้นเพื่อเผยแพร่ประชา
สัมพันธ์ การจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ วิถีชีวิต ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี
อันจะเป็นการช่วยกระตุ้นสร้างกระแสให้เกิดการรับรู้ความเป็นเอกลักษณ์ของ พื้นที่
โดยมุ่งหวังให้นักท่องเที่ยวตัดสินใจ และเลือกเดินทางท่องเที่ยวในกิจกรรมต่างๆ ตามพื้นที่ดังกล่าว
ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีพรมแดนติดแม่น้ำโขง ทั้งเขตภาคเหนือ เชื่อมโยงสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
อันจะช่วยให้เกิดการเดินทางเชื่อมโยงในกลุ่มจังหวัด และระหว่างภูมิภาค เหมาะสมในการส่งเสริม
ให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างภูมิภาค ในแถบลุ่มแม่น้ำโขง
จังหวัดเลยถือเป็นอีกจังหวัดหนึ่งที่มีแม่น้ำโขงไหลผ่าน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงาน
เลย และเทศบาลตำบลเชียงคานได้ส่งประเพณีวัฒนธรรมของชาวอำเภอเชียงคานเข้าร่วม บรรจุไว้ใน
โปรแกรมท่องเที่ยวครั้งนี้ด้วย ภายใต้ชื่องาน ว่า “ลอยผาสาด ดารดาษนทีโขง เชื่อมโยงวัฒนธรรมไทดำ
น่าขำผีขนน้ำ” ระหว่างวันที่ 1-15 ต.ค. ที่ อ.เชียงคาน
นายกมล คงปิ่น นายกเทศบาลตำบลเชียงคาน กล่าวว่า ปีนี้งานออกพรรษาที่เชียงคาน จัดขึ้นเป็น
พิเศษ นอกจากจะมีแห่ปราสาทผึ้ง ไหลเรือไฟ จะมีพิธี “ผาสาดลอยน้ำ” ถือเป็นไฮไลต์ของงาน
โดยประเพณีดังกล่าวถูกหลงลืม เลิกเล่นไปนานแล้ว ทั้งที่เป็นส่วนหนึ่งของพิธีสะเดาะเคราะห์
แบบดั้งเดิมของท้องถิ่น โดยเจ้าของผาสาด ลักษณะคล้ายกระทง นำความโชคร้ายสิ่งที่ไม่ดีปล่อยไหล
ไปตามแม่น้ำโขง โดยจะจัดขึ้นในช่วงค่ำคืนของวันที่ 14 ตุลาคม 2551 ทางเทศบาลได้เตรียมผาสาด
จำนวนมากไว้สำหรับให้นักท่องเที่ยวลงไปลอยเพื่อความ เป็นศิริมงคลแก่ชีวิตด้วย
นอกจากนี้ยังมีการรื้อฟื้นประเพณีเรือไฟบกทำเป็นเรือเล็ก ซึ่งใช้ไม้ไผ่และใช้เทียนปักบนเรือ
จุดยามค่ำคืนตามหน้าบ้านหรือสถานที่ต่างๆ เพื่อให้เกิดแสงสว่างไสวช่วงงานออกพรรษา
เมษายน ของทุกปี เป็นงานประเพณีสงกรานต์ที่มีความพิเศษแตกต่างจากท้องถิ่นอื่น เนื่องจากจะ
มีประชาชนจากประเทศลาวเข้ามาร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดขึ้น ได้แก่การประกวดเทพีสงกรานต์ และ
ร่วมเล่นน้ำสงกรานต์กับชาวไทยงานประเพณีบุญบั้งไฟล้าน จัดขึ้นที่บริเวณวัดเอราวัณพัฒนารามกิ่ง
อำเภอเอราวัณ ในช่วงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6http://www.chiangkhan.com
งานประเพณีต่าง ๆ ของชาวลาวนอกจากวิถีชีวิตความเป็นอยู่และภาษาที่ไทย – ลาวมีความคล้ายคลึงกันแล้ว
งานประเพณีต่าง ๆ ตลอดปีของลาวก็ดูไม่ต่างจากชาวไทยในภาคอีสานนัก เกือบทั้งหมดเป็นงานประเพณี
ที่เกี่ยวเนื่องกับพุทธศาสนาเรียกกันว่า “ฮีตสิบสอง”
• ฮีต หมายถึง จารีต
• สิบสอง หมายถึง เดือนทั้ง 12 เดือนในรอบหนึ่งปี
ชาวหลวงพระบางมีงานประเพณีครบทั้งสิบสองเดือนในหนึ่งปี
• เดือนอ้าย : บุญเข้ากรรม
ช่วงที่จัด : เดือนธันวาคม ซึ่งอยู่ในช่วงฤดูหนาว
ลักษณะงาน : จุดประสงค์ของงานนี้เพื่อให้พระภิกษุ เข้าพิธีกรรมปลงอาบัติด้วยการอยู่ในเขตที่จำกัด เพื่อชำระจิตใจให้สะอาด
• เดือนยี่ : บุญคูณลาน
ช่วงที่จัด : หลังฤดูเก็บเกี่ยว
ลักษณะงาน : ก่อนที่จะนำข้าวที่นวดแล้วไปเก็บในยุ้งข้าว จะมีการทำบุญขวัญข้าว มีการนิมนต์พระภิกษุมาสวดเป็นสิริมงคล และเป็นนิมิตรหมายที่ดีให้ปีต่อๆไปทำนาเกิดผลดียิ่งๆขึ้น
• เดือนสาม : บุญข้าวจี่
ช่วงที่จัด : หลังงานมาฆะบูชา
ลักษณะงาน : ชาวนาจะนำข้าวจี่หรือข้าวเหนียวที่นึ่งสุกแล้ว ปั้นเป็นก้อนเท่าไข่เป็ดทาเกลือ นำไปเสียบไม้ย่าง จากนั้นตีไข่ทาให้ทั่วแล้วย่างจนไข่สุกและถอดไม่เสียบออกนำน้ำตาลอ้อยยัดลงตรงกลางเป็นไส้ นำถวายพระสงฆ์ในช่วงที่หมดฤดูทำนาแล้ว เพื่อเป็นการทำบุญ
• เดือนสี่ : บุญพระเวส
ช่วงที่จัด : เดือนสี่ข้างขึ้นหรือข้างแรมก็ได้
ลักษณะงาน : งานบุญพระเวสหรืองานบุญมหาชาติ เช่นเดียวกับงานฟังเทศพระเวสสันดรชาดก อันเป็นชาดกที่ยิ่งใหญ่ ชาวบ้านจะช่วยกันตกแต่งประดับประดาโรงธรรมด้วยดอกไม้ ใช้ดอกบัวประดับธรรมมาสน์ มีการจัดรูปขบวนแห่พระเวสสันดรและนางมัทรีออกจากป่าเข้าในเมืองไปสิ้นสุดที่พระอุโบสถ มีการเทศน์มหาเวสสันดรตลอดวัน
• เดือนห้า : บุญสงกรานต์
ช่วงที่จัด : ตรุษสงกรานต์
ลักษณะงาน : นับเป็นงานที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวมากที่สุดและยังถือเป็นวันปีใหม่ของลาวเช่นเดียวกับของไทย
วันแรกของงานเรียกว่า “วันสงขารล่อง” ชาวหลวงพระบางจะไปจับจ่ายซื้อของและธงรูปพระพุทธเจ้า เพื่อไปปักกองเจดีย์ทรายริมแม่น้ำโขง ตกเย็นมีการลอยกระทง ภายในกระทงบรรจุกล้วย ขิง ข้าวดำ ข้าวแดง ดอกไม้ ใบพลู ธูป เทียน ดอกดาวเรือง ผมและเล็บของผู้ลอย อธิษฐานให้ทุกข์โศกโรคภัยลอยไปกับกระทง
วันที่สอง เรียกว่า “วันเนา” ช่วงเช้ามีการแห่รูปหุ่นเชิดปู่เยอย่าเยอและสิงห์แก้ว สิงห์คำ ช่วงบ่ายขบวนแห่ซึ่งนำโดยปู่เยอย่าเยอ ผู้เฒ่าผู้แก่ หัวหน้าหมู่บ้านแต่ละหมู่บ้าน ขบวนพระสงฆ์ นางสงกรานต์ (นางวอ) ขี่สัตว์พาหนะบนรถแห่ ปู่เยอย่าเยอก็จะฟ้อนรำ อวยพระให้ลูกหลาน
วันที่สาม เรียกว่า “วันสังขารขึ้น” ชาวหลวงพระบางทำข้าวเหนียวนึ่งและนมลูกกวาด พากันเดินขึ้นภูษี ภูเขาสูงกลางเมืองหลวงพระบาง ระหว่างเดินจะวางข้าวเหนียวและขนมไว้ตามหัวเสาบันไดจนถึงองค์พระธาตุ วิธีการนี้เรียกว่าเป็นการตักบาตรภูษี มีการโยนข้าวเหนียวลงป่าข้างองค์พระธาตุเป็นการให้ทาน ช่วงบ่ายมีขบวนแห่นางสังขารและอัญเชิญศีรษะท้าวกบิลพรหมจากวัดเชียงทองไปยังวัดวิชุน มีการสรงน้ำพระที่วัดวิชุน
วันที่สี่ นับเป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งมีการแห่พระบาง พระพุทธรูปคู่เมืองหลวงพระบาง ปีหนึ่งจะอัญเชิญออกมาให้ชาวเมืองสรงน้ำ พระบางนี้จะประดิษฐานอยู่ที่วัดใหม่เป็นเวลา 3 วัน 3 คืน จากนั้นจะอัญเชิญกลับหอพิพิธภัณฑ์เหมือนเดิม
• เดือนหก : บุญบั้งไฟ
ช่วงที่จัด : เดือนหกก่อนฤดูกาลทำนามาถึง ย่างเข้าฤดูฝน
ลักษณะงาน : คล้ายกับงานบุญบั้งไฟของภาคอีสาน จุดประสงค์เพื่อบูชาหลักเมือง และขอให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล ปีใดที่ไม่มีการทำบุญบั้งไฟเชื่อว่าปีนั้นจะเกิดเภทภัยต่างๆ และเป็นสัญญาณว่าฤดูการทำนาจะเริ่มต้นแล้ว นับเป็นงานที่กระทำกันมาแต่โบราณ
• เดือนเจ็ด : บุญซำฮะ
ช่วงที่จัด : เดือนเจ็ด
ลักษณะงาน : งานเล็กๆ แต่สำคัญ จุดประสงค์เพื่อเป็นการชำระล้างเสนียดจัญไร ที่จะเกิดกับบ้านเมือง เพื่อให้บ้านเมืองมีความสงบสุข
• เดือนแปด : บุญเข้าพรรษา
ช่วงที่จัด : วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8
ลักษณะงาน : เป็นการเริ่มต้นฤดูเข้าพรรษาเหมือนชาวไทย พระสงฆ์จะหยุดออกบิณฑบาตรเป็นเวลา 3 เดือนตามพุทธบัญญัติ นับแต่วันเข้าพรรษาเป็นต้นไปในวันแรกนี้จะมีการทำบุญกันที่วัดต่างๆ
• เดือนเก้า : บุญห่อข้าวประดับดิน การส่วงเฮือ และการล่องเฮือไฟ
ช่วงที่จัด : เดือนเก้า
ลักษณะงาน : บุญห่อข้าวประดับดิน เป็นการทำพิธีกรรมอุทิศส่วนกุศลให้กับวิญาณบรรพบุรุษ และวิญญาณไร้ญาติให้ออกมารับส่วนบุญ ชาวบ้านจะนำอาหารหวานคาว บุหรี่ หมาก พลู ใส่ลงในกรวยใบตองไปวางตามพื้นดินหรือใต้ต้นไม้บริเวณรั้วบ้าน รั้ววัด
การส่วงเฮือ
ส่วง หมายถึง แข่งขัน
เฮือ หมายถึง เรือ
เป็นงานบุญแข่งเรือประจำเดือนเก้า ทุกคุ้ม (หมู่บ้าน) จะนำเรือเข้าแข่งขัน ในอดีตการแข่งเรือถือเป็นการฝึกซ้อมฝีพายเพื่อต่อสู้ข้าศึกที่มาทางน้ำ ปัจจุบันนับเป็นงานบุญที่สนุกสนานงานหนึ่งของชาวหลวงพระบาง
• เดือนสิบ : บุญข้าวสาก
ช่วงที่จัด : วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10
ลักษณะงาน : จุดประสงค์ของการจัดงานเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้คนตายหรือเปรต ห่างจากงานวันบุญข้าวประดับดิน 15 วัน อันเป็นเวลาที่เปรตต้องกับไปยังที่อยู่ของตน
• เดือนสิบเอ็ด : บุญออกพรรษา
ช่วงที่จัด : วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11
ลักษณะงาน : เป็นงานตักบาตรเทโว มีการจัดอาหารไปถวายพระภิกษุสามเณร มีการกวนข้าวทิพย์ (กระยาสารท) ถวาย มีการถวายผ้าจำนำพรรษาและปราสาทผึ้ง โดยการนำไม้ไผ่มาสานเป็นรูปปราสาท ตกแต่งสวยงาม จัดขบวนแห่ปราสาทผึ้งไปถวายพระในตอนค่ำเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับ
• เดือนสิบสอง : บุญกฐิน
ช่วงที่จัด : แรม 1 ค่ำ เดือน 11 – เดือนเพ็ญ เดือน 12
ลักษณะงาน : เป็นการถวายผ้าแด่พระสงฆ์ที่จำพรรษามาตลอดช่วงเข้าพรรษา นับเป็นงานบุญที่กระทำกันมาแต่โบราณ
http://www.oceansmile.com
วิถีชีวิต
ชาวลาวเป็นกลุ่มชนที่รักความอิสระ กล้าหาญ ซื่อสัตย์ รักความสงบ มีเสรีภาพในการเลือกคู่ครองมีประเพณีแอ่วสาว เป็นการที่หนุ่มสาว มีโอกาสได้ทำความรู้จักกัน
วัฒนธรรมประเพณีทางด้านภาษา
ภาษาประจำชาติคือ ภาษาลาวมีลักษณะใกล้เคียงกับภาษาไทยทางภาคอีสานของไทย นอกจากนี้คนลาวบางส่วนยังสามารถใช้ภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศลได้ดี สำหรับประชาชนชาวลาวทางตอนเหนือของประเทศสำเนียงการพูด และความหมายของคำบางคำคล้ายกับภาษาพื้นเมืองในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย และเลย ทางตอนเหนือของประเทศไทย
วัฒนธรรมและประเพณีการแต่งกาย
ประชากรส่วนใหญ่นิยมนุ่งผ้าซิ้น ซึ่งเป็นผ้าฝ้ายและผ้าไหม การทำลวดลายบนผืนผ้า ก็ใช้วิธีการทอสลับเส้นด้ายลวดลายต่าง ๆ ห่มสไบเฉียง สวมเสื้อแขนกระบอกและนิยมเกล้าผม
วัฒนธรรมและประเพณีด้านอาหาร
บทที่ 3
ขั้นตอนการดำเนินงาน
ขั้นตอนการดำเนินงาน
โครงงานฉบับนี้ผู้จัดทำได้ดำเนินงานตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
1. ศึกษาความเป็นมาและความสำคัญของกำเนิดอาเซียน
2. วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเลือกหัวข้อในการทำโครงงานและนำเสนออาจารย์ที่ปรึกษา
3. ปรึกษาและรับคำแนะนำในการเขียนโครงงานจากอาจารย์ที่ปรึกษา
4. นำเสนอเค้าโครงเรื่อง สมาชิกในกลุ่มรวบรวมข้อมูลในการทำโครงงาน
5. ศึกษารูปแบบการทำโครงงาน พร้อมการดำเนินการตามขั้นตอนของการทำโครงงาน
6. ดำเนินงานการจัดพิมพ์ตามรูปแบบของโครงงานเพื่อจัดทำเป็นรูปแบบโครงงาน
7. การนำเสนอร่างรูปเล่มโครงงาน
8. จัดทำเล่มโครงงานฉบับสมบูรณ์
ตารางการปฏิบัติกิจกรรม ()
สัปดาห์ กิจกรรมที่ปฏิบัติ สถานที่ปฏิบัติกิจกรรม ผู้รับผิดชอบ
1
11 – 15 มิย. 55 แบ่งกลุ่มในการเลือกหัวข้อในการเพื่อเสนอต่ออาจารย์ ห้องปฏิบัติการคอมฯ 1 สมาชิกในกลุ่มและอาจารย์ที่ปรึกษา
2
18 – 22 มิย. 55 ค้นคว้าหาข้อมูลจากเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ตามหัวข้อที่กำหนดไว้ เริ่มพิมพ์งานในบทที่ 1 ห้องปฏิบัติการคอมฯ 1 สมาชิกในกลุ่มและอาจารย์ที่ปรึกษา
3
25 – 29 มิย. 55 จัดเตรียมหาข้อมูลเอกสารที่เกี่ยวกับโครงงาน จัดพิมพ์บทที่ 2 บทที่ 3 และปรึกษาภายในกลุ่มเพื่อเตรียมผลการศึกษา ห้องปฏิบัติการคอมฯ 1 สมาชิกในกลุ่มและอาจารย์ที่ปรึกษา
4
2 -6 ก.ค. 55 สรุปผล อภิปรายและเสนอแนะข้อมูล พร้อมจัดพิมพ์ ห้องปฏิบัติการคอมฯ 1 สมาชิกในกลุ่มและอาจารย์ที่ปรึกษา
5
9 -13 ก.ค. 55 ศึกษาข้อมูลเพื่อจัดพิมพ์บทคัดย่อ กิตติกรรมประกาศ พร้อมจัดทำสารบัญ การพิมพ์อ้างอิง ภาคผนวก เพื่อจัดทำเป็นรูปเล่มฉบับสมบูรณ์ ห้องปฏิบัติการคอมฯ 1 สมาชิกในกลุ่มและอาจารย์ที่ปรึกษา
วิธีดำเนินงานตามโครงงาน
ในการจัดทำโครงงานฉบับนี้ คณะผู้จัดทำได้ดำเนินงานโดยการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับกำเนิดอาเซียน ประเทศสมาชิกในกลุมอาเซียน ได้ศึกษาข้อมูลที่สำคัญต่าง ๆ และได้ข้อมูลการค้นคว้าในรายวิชากิจกรรมศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง เพื่อเลือกหัวข้อที่คณะผู้จัดทำสนใจ ในการจัดทำโครงงาน โดยมีเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการศึกษาดังนี้
1. เครื่องคอมพิวเตอร์จากการสืบค้นในเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
2. สมุดจดบันทึก พร้อมปากกา
3. แผ่นซีดีเพื่อการบันทึกขั้นตอนต่าง ๆ ในการนำเสนอโครงงานต่ออาจารย์ที่ปรึกษา
4. Flash Drive เพื่อการบันทึกข้อมูล
วิธีการศึกษา
1. ศึกษาจากเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ห้องสมุด เพื่อหาข้อมูลเรื่อง………
2. ศึกษาจากเอกสารอ้างอิง
3. ประเด็นการศึกษา
- ได้รู้และมีความเข้าใจเรื่องการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียน
- ได้เห็นถึงความสำคัญในการศึกษาเกี่ยวกับประชาคมอาเซียน
- มีความรู้และความเข้าใจในเรื่อง……………………………….
- (ถ้าทำเกี่ยวกับเรื่องภาษา ต้องได้รู้ถึงการใช้ภาษา…..)
สัปดาห์ กิจกรรมที่ปฏิบัติ สถานที่ปฏิบัติกิจกรรม ผู้รับผิดชอบ
1
11 – 15 มิย. 55 แบ่งกลุ่มในการเลือกหัวข้อในการเพื่อเสนอต่ออาจารย์ ห้องปฏิบัติการคอมฯ 1 สมาชิกในกลุ่มและอาจารย์ที่ปรึกษา
2
18 – 22 มิย. 55 ค้นคว้าหาข้อมูลจากเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ตามหัวข้อที่กำหนดไว้ เริ่มพิมพ์งานในบทที่ 1 ห้องปฏิบัติการคอมฯ 1 สมาชิกในกลุ่มและอาจารย์ที่ปรึกษา
3
25 – 29 มิย. 55 จัดเตรียมหาข้อมูลเอกสารที่เกี่ยวกับโครงงาน จัดพิมพ์บทที่ 2 บทที่ 3 และปรึกษาภายในกลุ่มเพื่อเตรียมผลการศึกษา ห้องปฏิบัติการคอมฯ 1 สมาชิกในกลุ่มและอาจารย์ที่ปรึกษา
4
2 -6 ก.ค. 55 สรุปผล อภิปรายและเสนอแนะข้อมูล พร้อมจัดพิมพ์ ห้องปฏิบัติการคอมฯ 1 สมาชิกในกลุ่มและอาจารย์ที่ปรึกษา
5
9 -13 ก.ค. 55 ศึกษาข้อมูลเพื่อจัดพิมพ์บทคัดย่อ กิตติกรรมประกาศ พร้อมจัดทำสารบัญ การพิมพ์อ้างอิง ภาคผนวก เพื่อจัดทำเป็นรูปเล่มฉบับสมบูรณ์ ห้องปฏิบัติการคอมฯ 1 สมาชิกในกลุ่มและอาจารย์ที่ปรึกษา
วิธีดำเนินงานตามโครงงาน
ในการจัดทำโครงงานฉบับนี้ คณะผู้จัดทำได้ดำเนินงานโดยการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับกำเนิดอาเซียน ประเทศสมาชิกในกลุมอาเซียน ได้ศึกษาข้อมูลที่สำคัญต่าง ๆ และได้ข้อมูลการค้นคว้าในรายวิชากิจกรรมศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง เพื่อเลือกหัวข้อที่คณะผู้จัดทำสนใจ ในการจัดทำโครงงาน โดยมีเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการศึกษาดังนี้
1. เครื่องคอมพิวเตอร์จากการสืบค้นในเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
2. สมุดจดบันทึก พร้อมปากกา
3. แผ่นซีดีเพื่อการบันทึกขั้นตอนต่าง ๆ ในการนำเสนอโครงงานต่ออาจารย์ที่ปรึกษา
4. Flash Drive เพื่อการบันทึกข้อมูล
วิธีการศึกษา
1. ศึกษาจากเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ห้องสมุด เพื่อหาข้อมูลเรื่อง………
2. ศึกษาจากเอกสารอ้างอิง
3. ประเด็นการศึกษา
- ได้รู้และมีความเข้าใจเรื่องการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียน
- ได้เห็นถึงความสำคัญในการศึกษาเกี่ยวกับประชาคมอาเซียน
- มีความรู้และความเข้าใจในเรื่อง……………………………….
- (ถ้าทำเกี่ยวกับเรื่องภาษา ต้องได้รู้ถึงการใช้ภาษา…..)
บทที่ 4
ผลการศึกษา
ผลการศึกษา
จากการที่ได้ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนเพื่อทำโครงงาน และหลังจากการที่ได้ศึกษาข้อมูลแล้วผู้จัดทำได้รับความรู้ดังนี้
1. ได้รับความรู้ในเรื่องการจัดตั้งอาเซียนและข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับอาเซียน
2. ได้รับความรู้ประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียน
3. ได้รู้จักสัญญาลักษณ์ของอาเซียนและความหมาย
4. ได้ตระหนักถึงการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในอนาตคที่จะถึง
5. มีความรู้ความเข้าใจในเรื่อง (ที่นักศึกษาได้ทำการค้นคว้า)
ธงและสัญลักษณ์ อาเซียน
สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
(Association of Southeast Asian Nations)
คำขวัญ
“One Vision, One Identity, One Community”
(หนึ่งวิสัยทัศน์ หนึ่งเอกลักษณ์ หนึ่งประชาคม)
สัญลักษณ์อาเซียน
“ต้นข้าวสีเหลือง 10 ต้นมัดรวมกันไว้”
หมายถึง ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้ง 10 ประเทศรวมกันเพื่อมิตรภาพและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน โดยสีที่ปรากฏในสัญลักษณ์ของอาเซียน เป็นสีที่สำคัญของธงชาติของแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียน
สีน้ำเงิน หมายถึง สันติภาพและความมั่นคง
สีแดง หมายถึง ความกล้าหาญและความก้าวหน้า
สีขาว หมายถึง ความบริสุทธิ์
สีเหลือง หมายถึง ความเจริญรุ่งเรือง
สำนักเลขาธิการอาเซียน (ASEAN Secretariat) ตั้งอยู่ที่่ กรุงจากาตาร์
เลขาธิการ : ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ (เริ่มดำรงตำเเหน่งเมื่อปี พ.ศ. 2551)
ปฏิญญากรุงเทพ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2510
กฎบัตรอาเซียน 16 ธันวาคม พ.ศ. 2551
ภาษาราชการ ภาษาอังกฤษ
“One Vision,One Identity, One Community”
หนึ่งวิสัยทัศน์ หนึ่งเอกลักษณ์ หนึ่งประชาคม
พิธีลงนามในปฏิญญาอาเซียน (ASEAN Declaration) หรือปฏิญญากรุงเทพฯ
ที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2510
นำรูปในเรื่องที่นักศึกษาทำการค้นคว้ามาประมาณ 2 ภาพ
จากการที่ได้ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนเพื่อทำโครงงาน และหลังจากการที่ได้ศึกษาข้อมูลแล้วผู้จัดทำได้รับความรู้ดังนี้
1. ได้รับความรู้ในเรื่องการจัดตั้งอาเซียนและข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับอาเซียน
2. ได้รับความรู้ประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียน
3. ได้รู้จักสัญญาลักษณ์ของอาเซียนและความหมาย
4. ได้ตระหนักถึงการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในอนาตคที่จะถึง
5. มีความรู้ความเข้าใจในเรื่อง (ที่นักศึกษาได้ทำการค้นคว้า)
ธงและสัญลักษณ์ อาเซียน
สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
(Association of Southeast Asian Nations)
คำขวัญ
“One Vision, One Identity, One Community”
(หนึ่งวิสัยทัศน์ หนึ่งเอกลักษณ์ หนึ่งประชาคม)
สัญลักษณ์อาเซียน
“ต้นข้าวสีเหลือง 10 ต้นมัดรวมกันไว้”
หมายถึง ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้ง 10 ประเทศรวมกันเพื่อมิตรภาพและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน โดยสีที่ปรากฏในสัญลักษณ์ของอาเซียน เป็นสีที่สำคัญของธงชาติของแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียน
สีน้ำเงิน หมายถึง สันติภาพและความมั่นคง
สีแดง หมายถึง ความกล้าหาญและความก้าวหน้า
สีขาว หมายถึง ความบริสุทธิ์
สีเหลือง หมายถึง ความเจริญรุ่งเรือง
สำนักเลขาธิการอาเซียน (ASEAN Secretariat) ตั้งอยู่ที่่ กรุงจากาตาร์
เลขาธิการ : ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ (เริ่มดำรงตำเเหน่งเมื่อปี พ.ศ. 2551)
ปฏิญญากรุงเทพ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2510
กฎบัตรอาเซียน 16 ธันวาคม พ.ศ. 2551
ภาษาราชการ ภาษาอังกฤษ
“One Vision,One Identity, One Community”
หนึ่งวิสัยทัศน์ หนึ่งเอกลักษณ์ หนึ่งประชาคม
พิธีลงนามในปฏิญญาอาเซียน (ASEAN Declaration) หรือปฏิญญากรุงเทพฯ
ที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2510
นำรูปในเรื่องที่นักศึกษาทำการค้นคว้ามาประมาณ 2 ภาพ
บทที่ 5
สรุปผล อภิปรายและเสนอแนะ
สรุปผลการศึกษา
ในการจัดทำโครงงานการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซี่ยน ผู้จัดทำได้ศึกษาค้นคว้าข้อมูลจากเครือข่ายอินเตอร์เน็ต และข่าวสารจากสื่อโทรทัศน์ ในการศึกษาครั้งนี้ทำให้ตระหนักได้ว่าในการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซี่ยน ต้องมีความพร้อมหลายด้านทั้งการศึกษาด้านวิชาการ การศึกษาภาษาเพื่อนบ้าน ศึกษาเรื่องวัฒนธรรมประเพณีของประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียนซึ่งผู้จัดทำได้มีความรู้เป็นอย่างมาก และคาดว่าจะต้องมีการศึกษาต่อเพื่อได้รับความรู้เพิ่มเติมและเป็นการเผยแพร่ให้ผู้อื่นได้รับรู้ด้วย
ประโยชน์ที่ได้รับ
1. ได้รับความรู้ที่สำคัญเกี่ยวกับอาเซียน
2. ได้รับความรู้ความเข้าใจในการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในด้านต่าง ๆ
3. ได้รับความรู้และทักษะในด้านภาษาของประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียน
4. ได้ตระหนักในการทำงานเป็นหมู่คณะอย่างมีจริยธรรม
ข้อเสนอแนะ
1. ควรจะมีสื่อวีดีทัศน์ประเทศเพื่อนบ้านของสมาชิกอาเซียน
2. ควรมีการจัดนิทรรศการเรื่องประชาคมอาเซียน
3. ควรจะมีการบูรณาการอย่างหลากหลายวิชาตามหัวข้อเพื่อให้ได้ข้อมูลที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพต่อการเรียนการสอน
ในการจัดทำโครงงานการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซี่ยน ผู้จัดทำได้ศึกษาค้นคว้าข้อมูลจากเครือข่ายอินเตอร์เน็ต และข่าวสารจากสื่อโทรทัศน์ ในการศึกษาครั้งนี้ทำให้ตระหนักได้ว่าในการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซี่ยน ต้องมีความพร้อมหลายด้านทั้งการศึกษาด้านวิชาการ การศึกษาภาษาเพื่อนบ้าน ศึกษาเรื่องวัฒนธรรมประเพณีของประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียนซึ่งผู้จัดทำได้มีความรู้เป็นอย่างมาก และคาดว่าจะต้องมีการศึกษาต่อเพื่อได้รับความรู้เพิ่มเติมและเป็นการเผยแพร่ให้ผู้อื่นได้รับรู้ด้วย
ประโยชน์ที่ได้รับ
1. ได้รับความรู้ที่สำคัญเกี่ยวกับอาเซียน
2. ได้รับความรู้ความเข้าใจในการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในด้านต่าง ๆ
3. ได้รับความรู้และทักษะในด้านภาษาของประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียน
4. ได้ตระหนักในการทำงานเป็นหมู่คณะอย่างมีจริยธรรม
ข้อเสนอแนะ
1. ควรจะมีสื่อวีดีทัศน์ประเทศเพื่อนบ้านของสมาชิกอาเซียน
2. ควรมีการจัดนิทรรศการเรื่องประชาคมอาเซียน
3. ควรจะมีการบูรณาการอย่างหลากหลายวิชาตามหัวข้อเพื่อให้ได้ข้อมูลที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพต่อการเรียนการสอน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)